ทุกวันนี้ โทรศัพท์มือถือและสมาร์ทโฟน แทบจะกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในชีวิตประจำวันไปแล้ว เนื่องจากความสามารถในการตอบสนองทุกการใช้งาน ทั้งโทรศัพท์ หรือบางรุ่นสามารถเป็นแท็บเล็ตขนาดเล็กได้ในตัว โดยหลักการเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือ และสมาร์ทโฟนของแต่ละคน ย่อมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความชอบ แบรนด์ และราคาเป็นสำคัญ ส่วนระบบปฏิบัติการที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน คงต้องยกตำแหน่งให้ Android และ iOS ครับ

  {youtube}8wsie1iYh-4{/youtube}

  สำหรับราคาของแอนดรอยด์โฟนนั้น มีหลายระดับราคาให้เลือก ตั้งแต่ 4 พันต้นๆ ไปจนถึง 2 หมื่นกว่าบาท ในขณะที่ ไอโฟน (iPhone) กลับมีให้เลือกเพียงราคาเดียว นั่นก็คือ เริ่มต้นที่ 20,900 สำหรับเครื่องเปล่า ไอโฟน 4S (iPhone 4S) ความจุ 16GB ซึ่งราคานี้ ยังไม่รวมแพ็กเกจสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ตที่ต้องจ่ายรายเดือน ผิดกับในต่างประเทศ ที่ราคาเครื่อง ไอโฟน 4S (iPhone 4S) แบบติดสัญญา 2 ปี จะมีราคาที่ถูกมาก (แต่แพ็กเกจเค้าก็แพงเอาเรื่องนะครับ) แต่ถ้าเป็นเครื่องเปล่า ก็จะมีราคาที่ไม่แตกต่างไปจากประเทศไทยครับ

แต่ถ้าหากวันหนึ่ง เกิดโชคร้าย ทำไอโฟน (iPhone) หาย หรือโดนขโมย จะซื้อเครื่องใหม่ซักเครื่อง คงจะต้องควักเงินกว่า 2 หมื่นเพื่อซื้อเครื่องใหม่ ถ้าหากมีกำลังทรัพย์เพียงพอ คงจะไม่ใช่ปัญหาอะไร แต่ผู้ที่มีกำลังทรัพย์ไม่เพียงพอ ไอโฟน (iPhone) มือสอง ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง แต่...เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า ไอโฟน (iPhone) มือสองที่กำลังจะซื้อนั้น เป็นเครื่องที่ดีจริง ไม่ย้อมแมวขาย ไม่เคยตกน้ำ และอื่นๆ วันนี้ เว็บไซต์ techmoblog มี trick ง่าย มาให้สังเกตกันก่อนซื้อครับ

ก่อนจะซื้อ iPhone มือสอง ต้องถามตัวเองก่อนว่า อยากได้รุ่นไหน ความจุเท่าไหร่

ไอโฟน (iPhone) มือสอง ที่ขายตามร้านค้าทั่วไป มีทั้งแต่ iPhone 3GS, iPhone 4 และ iPhone 4S ยิ่งถ้าเป็นโมเดลเก่า ราคาจะถูกกว่า แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งานด้วยเช่นกัน ที่บอกว่า ต้องถามตัวเองก่อนว่า ต้องการไอโฟน (iPhone) มือสอง ความจุเท่าไหร่ เป็นเพราะว่า ไอโฟน (iPhone) ทุกรุ่น ไม่สามารถเพิ่มหน่วยความจำในตัวเครื่องได้นั่นเอง

สำหรับ iPhone 3GS และ iPhone 4 ความจุต่ำสุดอยู่ที่ 8GB ครับ ส่วน ไอโฟน 4S (iPhone 4S) ความจุต่ำสุดอยู่ที่ 16GB ซึ่งราคาก็จะมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับสภาพ และร้านค้าที่จำหน่ายด้วย

ก่อนจะซื้อ iPhone มือสอง ถามก่อนว่า ยังมีการรับประกันเหลืออยู่หรือไม่

การรับประกันตัวเครื่อง ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นครับ ยิ่งเป็นไอโฟน (iPhone) มือสอง แต่เหลือประกันด้วยแล้ว เป็นอะไรที่น่าสนใจครับ แต่เราจะทราบได้อย่างไรว่า ไอโฟน (iPhone) มือสอง ที่กำลังจะซื้อ หมดประกันเมื่อไหร่ สามารถเข้าไปเช็คได้ที่ เว็บไซต์ Apple ได้โดยตรง โดยใส่เลข serial number ลงไป ซึ่งเลข serial number นั้น สามารถดูได้จากข้างกล่อง (ถ้ามี) หรือเข้าไปที่ Settings > General > About แล้วเช็คดูว่า เหลืออีกกี่เดือน

ตรวจสอบสภาพภายนอก และการเชื่อมต่อต่างๆ

เป็นเรื่องปกติครับ ถ้าหากมองหาไอโฟน (iPhone) มือสอง ซักเครื่อง จะเจอเครื่องใหม่กิ๊กเอี่ยมอ่อง ไม่มีรอยเหมือนเครื่องใหม่ คงจะเป็นไปได้ยาก (เว้นแต่โชคดีจริงๆ) อันดับแรกดูว่า หน้าจอมีรอยมากน้อยแค่ไหน ลองเสียบสายชาร์ตดูว่า เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ได้หรือเปล่า ชาร์ตแบตเข้ามั๊ย รวมไปถึงหูฟัง ต้องทดสอบว่ามีเสียงด้วยหรือไม่ จะซื้อทั้งที ต้องตรวจสอบให้ละเอียดครับ

เช็คหน้าจอว่ามี Dead Pixel หรือไม่

หลายท่านจะมองว่า Dead Pixel บนสมาร์ทโฟนคงไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่ แต่จริงๆ แล้ว ก็สำคัญไปไม่น้อยกว่าบนโน๊ตบุ๊คครับ ซึ่งสามารถเช็ค Dead Pixel ได้ที่ iPhone Dead Pixel Tester

ทดสอบการเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ต ทั้ง Wi-Fi และเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ

ลองเช็คดูว่า ไอโฟน (iPhone) มือสอง ที่กำลังจะซื้อ สามารถเข้าใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ตามปกติหรือไม่ โดยต้องเช็คทั้งการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi และเครือข่าย 3G ผ่านมือถือครับ

เช็คการใช้งานโทรศัพท์ และส่ง SMS

ตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์ ด้วยการส่ง SMS หาเพื่อน และเช็คการใช้งานโทรศัพท์ว่า สามารถได้ยินเสียงของคู่สนทนาได้อย่างชัดเจนหรือไม่ มีเสียงแตกซ่าหรือเปล่า และทางฝ่ายคู่สนทนา ได้ยินเสียงเราชัดเจนด้วยหรือไม่

เช็คแบตเตอรี่

 ตรวจสอบว่า แบตเตอรี่เสื่อมหรือไม่ สามารถดูได้จาก Settings > General > Usage แล้วดูว่า ที่อัตราแบตเตอรี่ 100% สามารถใช้งานได้นานกี่ชั่วโมง และเปิดสแตนบายด์ได้นานกี่ชั่วโมง

ตรวจสอบกล้องถ่ายภาพ

ตรวจสอบการใช้งานกล้องถ่ายรูป ผ่านทางแอพพลิเคชั่นถ่ายภาพ รวมถึงฟังก์ชั่นการใช้งานอื่นๆ ทั้ง Auto-focus และไฟแฟลชว่า ตอบสนองต่อการใช้งานหรือไม่

ซื้อ iPhone มือสอง ที่ไหนดี

จริงๆ แล้ว พ่อค้าที่ขาย ไอโฟน (iPhone) มือสอง มีทั้งที่เป็นร้านค้า และผู้ใช้เอง ซึ่งอาจจะเป็นญาติเรา หรือคนรู้จักก็ได้ บางท่านอาจจะคิดว่า ถ้าซื้อไอโฟน (iPhone) มือสอง จากคนรู้จัก คนสนิท เพื่อนฝูง อาจจะได้ของที่ดีกว่าไปซื้อตามร้านตู้ จริงๆ แล้วก็ถูกส่วนหนึ่ง แต่ไม่เสมอไปครับ ในขณะที่ร้านค้า มักจะขายให้ตามสภาพ 90% หรือ 95% ซึ่งจะมีราคาที่ต่างกันไป ทางที่ดี ควรหาร้านที่เชื่อใจได้นะครับ และพยายามขอนามบัตร และใบเสร็จเอาไว้ด้วย เผื่อเวลามีเครื่องมีปัญหา จะสามารถนำไปให้ร้านตรวจเช็คได้ทันทีครับ

ข้อมูลจาก :

  http://news.sanook.com

Tweet

Share

0