นัดชิง UCL ปี 2012 บาร์เยิร์นเปิดบ้าน(เพราะได้เล่นในบ้าน) รับเชลซี โดยทางบาร์เยิร์นพึ่งแพ้ "เละ" ต่อดอร์ทมุนต์ในนัดชิงเดเอฟเบ โพคาล 5-2 ส่วนเชลซีแม้จะหลุด Top 4 ในลีคแต่ได้ถ้วยเอฟเอคัพมาก่อนแล้วจากการเฉือนชนะลิเวอร์พูล นัดนี้ทั้งสองทีมขาดตัวหลักโดยเฉพาะแนวรับไปหลายตัวสภาพไม่ 100% กันทั้งคู่ ฝั่งบาร์เยิร์นเดิมพันเกมนี้ด้วยโอกาสเป็นทริปเบิ้ลรองแชมป์ตามรอยเลเวอร์คู เซ่นในอดีต ส่วนทางฝั่งเชลซีที่ล้มทีมเทวดามาในรอบรองฯเดิมพันด้วยการไปเล่นบอลยูโรป้า
เริ่มเกมมาก็เป็นไปตามที่หลายคน คาด เชลซีเน้นกมรับรัดกุมไว้ก่อน ในขณะที่บาร์เยิร์นเล่นเร็วดาหน้าบุกใส่ เน้นการขึ้นเกมทางริมเส้นและยิงไกลทุกครั้งที่มีโอกาส เกมค่อนข้างเร็วเพราะทั้งสองฝ่ายพยายามฉวยโอกาสเปิดเกมรุกเร็วก่อนที่คู่ ต่อสู้จะลงไปแพคเกมรับทัน
ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกเป็นบาร์เยิร์ นที่ครองบอลมากกว่า, ได้ลุ้นประตูมากกว่า ส่วนทางฝั่งเชลซีแม้ตกเป็นฝ่ายรับเสียมากแต่ก็ไม่ลนลาน(เพราะหนักกว่านี้ใน เกมบาร์ซ่าก็ผ่านมาแล้ว) ไม่สาดบอลทิ้งมั่วซั่ว พยายามเล่นบอลกับพื้นและเปิดเกมรุกเท่าที่โอกาสจะอำนวย
บาร์เยิร์นบุกได้ต่อเนื่อง ส่งบอลเข้าไปในเขตโทษได้ก็มาก แต่จังหวะยิงโดนไล่ โดนดัก โดนบล็อคตลอดเวลา แม้จะได้ยิงเป็นระยะแต่ก็เป็นจังหวะยิงยากๆ แทบทั้งนั้น จังหวะที่หนีแนวรับเชลซีไปได้มาก็ยิงพลาดกันไปเองหมด แม้ว่าเชลซีจะโต้แทบไม่ขึ้นแต่ก็ยันสกอร์อยู่ที่ 0-0 ได้อยู่ดี
ช่วง 10 นาทีสุดท้ายของครึ่งแรก เกมเปิดมากขึ้นและเชลซีโต้ได้มาก,โต้ได้ดีขึ้นแต่ก็ไม่ถึงกับพลิกมาได้ เปรียบ ก่อนที่เกมจะยังยันอยู่ที่ 0-0 ทำอะไรกันไม่ได้และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์ดังกล่าว
เข้าครึ่งหลังเกมยังคล้ายท้าย ครึ่งแรก เชลซีบุกได้ดีขึ้นแต่โดยรวมเกมยังเป็นรองบาร์เยิร์น บาร์เยิร์นนั้นแม้จะทำเกมรุกได้ต่อเนื่องแต่จังหวะสุดท้ายดันทำพลาดกันเยอะ โดยเฉพาะรอบเบนที่ยิงนกตายหมดเมืองมิวนิค, โกเมสที่ดึงจังหวะระดับ UCL แต่ยิงระดับลีควัน รวมไปถึงแถวสองที่สลับกันขึ้นมายิงก็แทบไม่ผ่านบล็อคของแนวรับเลย ส่วนเชลซีนั้นเกมรุกอาจยังไม่ดุดันนัก ไม่ถึงกับกดดันบาร์เยิร์นได้ แต่มีดีตรงแถวสองที่เก็บบอลได้ดี โดนบาร์เยิร์นวิ่งไล่ทุกจังหวะก็เอาตัวรอดกันไปได้เรื่อยๆ เสียบอลในแดนตัวเองค่อนข้างน้อย และปิดพื้นที่หน้าเขตโทษตัวเองได้ดีเอามากๆ
ผ่าน 1 ชั่วโมงของเกมไป บาร์เยิร์นเริ่มโหมเกมรุกบดหนักได้ต่อเนื่อง นาที 73 มาลูด้าได้ลงมาแทนเบอร์ทราน(ที่ไม่รู้ว่าได้ลงเป็นตัวจริงได้ยังไง) เกมโดยรวมไม่เปลี่ยนมากนัก มาลูด้าเองก็แทบไม่ได้เล่นเกมรุก อย่างไรก็ตาม บาร์เยิร์นก็ยังทำได้เหมือนย่อหน้าข้างบน จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงท้ายเกม หมัดแย๊ปของบาร์เยิร์นก็ส่งเชลซีลงไปนับได้สักที นาที 83 จากบอลครอสทางมุมเขตโทษด้านซ้าย บอลข้ามมาเสาไกล มุลเลอร์ที่มีส่วนร่วมกับเกมน้อยกว่าตัวรุกคนอื่นๆ โหม่งกดลงพื้นเด้งข้ามเชคเช็ดคานเข้าไปได้ ให้บาร์เยิร์นนำ 1-0
พอสกอร์ขยับ ตอเรสได้ลงมาแทนคาลูทันทีเช่นเดียวกับ ฟาน บุยเตน ที่ได้ลงมาแทนมุลเลอร์ เชลซีดันเกมรุกสูงขึ้นและเปิดพื้นที่ด้านหลังให้บาร์เยิร์นโต้มากขึ้น แต่เชลซีก็รุกได้ไม่ดุดันนักเช่นเดียวกับบาร์เยิร์นที่ใช้พื้นที่ว่างด้าน หลังแนวรับให้เป็นประโยชน์ไม่ได้ เกมทำท่าจะจบด้วยชัยชนะของบาร์เยิร์นแล้ว แต่นาที 88 เชลซีได้ลูกเตะมุม(ซึ่งได้ไม่กี่ครั้งในเกม) มาต้าเปิดมาเสาแรก ดรอกบาที่แทบไม่ได้ทำอะไรมากนักตลอดเกมโหม่งเสียบเสาแรกเข้าไปได้ ตีเสมอเป็น 1-1 ก่อนจะจบเกม 90 นาทีด้วยสกอร์ดังกล่าว
ช่วงต่อเวลาครึ่งแรก เชลซีลงมาเปิดเกมรุกใส่ทันที ในขณะที่บาร์เยิร์นดูจะยังเสียขวัญจากการโดนตีเสมออยู่เกมดูช็อตไป แต่แล้วดรอกบาดันมาทำฟาลว์ใส่ริเบรี่เสียจุดโทษ โอกาสชนะของบาร์เยิร์นอยู่แค่เอื้อม(อีกรอบ)แต่รอบเบนดันยิงจุดโทษติดเซฟเชค จากจังหวะดังกล่าวริเบรี่เล่นต่อไม่ไหว(เจ็บเอง ไม่ใช่ดรอกบาเสียบหนักมาก) โอลิชต้องลงมาเล่นแทน
เข้าครึ่งหลังช่วงต่อเวลา กลายเป็นบาร์เยิร์นที่ลงมาเร่งอีกครั้ง ทำได้ดีเหมือนเดิมด้วย แต่โชคร้ายที่จังหวะสุดท้ายก็ดันเหมือนเดิมไปด้วยเลยต้องยิงจุดโทษตัดสิน บาร์เยิร์นได้ยิงก่อนและยิงทางฝั่งกองเชียร์บาร์เยิร์นเสียด้วย
ลาห์มยิงเข้า มาต้ายิงพลาดโดนเซฟ 1-0
โกเมสยิงเข้า ลุยส์ยิงเข้า 2-1
นอยเออร์(เอาโกลมายิงเลยล่ะ)ยิงเข้า แลมพาร์ดยิงเข้า 3-2
โอลิชยิงติดเซฟ โคลยิงเข้า 3-3
ชไวสไตเกอร์ยิงชนเสา ดรอกบายิงเข้า ทำให้เชลซีพลิกแซงในการดวลจุดโทษ 4-3
เชลซีได้แชมป์ UCL ตามที่หวัง สมใจเจ้าของทีม, สร้างประวัติศาสตร์(ที่ไม่มีใครอยากได้)ทริปเบิ้ลรองแชมป์ให้กับบาร์เยิร์น รวมไปถึงทำเอาสเปอร์ใจสลายโควต้า UCL หายวับไปกับตาด้วย
เป็นเกมนัดชิง UCL ที่มีคุณภาพและดูสนุกอีกนัดหนึ่ง แม้จะไม่ได้เปิดเกมรุกแลกกันบ้าคลั่งแต่ก็มีเกมรุกสวยงามของบาร์เยิร์นให้ ดู, เกมรับที่เหนียวแน่นรัดกุมของเชลซี, ไม่มีข้อผิดพลาดแบบน่าเกลียดทั้งจากนักเตะทั้งสองทีม รวมไปถึงการตัดสินก็ไม่มีอะไรค้านสายตาด้วย
รูปเกมโดยรวมก็เป็นไปตามแทคติคที่ ทั้งสองทีมเตรียมมา ทางฝั่งบาร์เยิร์นเล่นกันได้อย่างมีวินัย วิ่งไล่เพรซซิ่งได้ดีอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงเต็มๆ และหลังจากนั้นก็ไม่ได้เดินเล่น แต่ยังวิ่งไปปิดพื้นที่กันได้อยู่ เกมรุกดูเหมือนพึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวของรอบเบนและริเบรี่ไม่น้อย แต่นักเตะคนอื่นๆ ก็สนับสนุนการเล่นของทั้งสองคนอย่างเต็มที่ ไม่ปล่อยให้เล่นไปคนเดียวเหมือนสถานการณ์ที่ดรอกบาหรือคาลูเจอ
ทางฝั่งเชลซีเองเล่นเกมรับได้ รัดกุมดี ข้อผิดพลาดส่วนบุคคลแทบไม่มีให้เห็น แผงหลังยืนตำแหน่งได้ดีไม่เปิดจังหวะให้บาร์เยิร์นจ่ายทะลุไปได้ บอลที่ครอสหรือผ่านเข้าเขตโทษจัดการได้ดีทั้งการสกัด, ประกบไม่ให้พลิกยิงและถึงแม้จะได้ยิงก็มีตัวบล็อคตัวเบียดอยู่ตลอด แผงกลางปิดพื้นที่อันตรายแถวหน้าเขตโทษได้เยี่ยม บาร์เยิร์นแม้จะได้ยิงไกลเยอะ แต่แทบทั้งหมดต้องแต่งบอลแล้วแต่งบอลอีก ไม่มีจังหวะไหนที่ได้วางเท้ายิงง่ายๆ หรือมีพื้นที่ให้ยิงโล่งๆ เลย
สิ่งที่ตัดสินเกมในวันนี้แน่นอน ว่าเป็นความคมในการทำประตู บาร์เยิร์นถ้าเปรียบเป็นนักมวยก็วนแย๊ปอยู่จนหมัดตัวเองแทบพังแต่ไม่มีปัญญา น็อคคู่ต่อสู้ มีโอกาสยิงไม่น่าจะต่ำกว่า 20 ครั้ง ลูกเตะมุมก็เฉียดๆ จำนวนเดียวกันแต่เปลี่ยนเป็นประตูได้ลูกเดียว ในขณะที่เชลซียืนตั้งการ์ด หลังพิงเชือกอยู่เป็นชั่วโมงๆ มีโอกาสครั้งเดียวทำได้เลย
ที่น่าเจ็บใจสำหรับบาร์เยิร์นเข้า ไปอีก พวกเขามีโอกาสชนะอย่างน้อย 3 ครั้งแต่ทำกันไม่ได้เอง ครั้งแรกคือตอนที่ขึ้นนำได้แล้วและเวลาเหลือแค่ 7 นาที แต่เสียสมาธิจนโดนตีเสมอ ครั้งที่สองคือได้จุดโทษในช่วงต่อเวลาแต่ก็ดันยิงไม่เข้า ครั้งที่สามในช่วงยิงจุดโทษอยู่ในสถานการณ์ที่ได้เปรียบมากแล้วจากการที่ เป็นฝ่ายยิงก่อนและเชลซีก็พลาดก่อน แต่สุดท้ายมาพลาดโดนพลิกแซงในช่วง 2 คนสุดท้าย กลับกันทางฝั่งเชลซีนั้นไม่เคยอยู่ในสถานการณ์ได้เปรียบเลยแม้แต่นาทีเดียว ตลอด 120 นาที รวมไปถึงช่วงยิงจุดโทษ 3 คนแรกด้วย แต่ครั้งเดียวที่ได้เปรียบ พวกเขาเป็นแชมป์เลย...
{youtube}cL4AWJrThZk{/youtube}