สืบเนื่องจากคดีของเด็กนักเรียน วิทยาลัยอาชีวศึกษาเลย นางสาวกนกอร ไชยศรี ซึ่งถูกทางตำรวจตั้งข้อหา "ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและเสียทรัพย์" ทั้งๆที่เจ้าตัวยืนยันว่า ไม่ได้เป็นคนขับ และตัวของนักศึกษาเองก็ขับรถไม่เป็นอีกด้วย เรื่องราวดังกล่าวนั้นก็ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2555 หรือกว่า 1 ปีมาแล้ว และกำลังรอฟังคำตัดสินจากศาลชั้นต้น ณ วันที่ 30 กันายน 2556 นี้อ่านเรื่องราวเดิมได้ที่นี่ครับ ของสื่อเสรีเลย และของผู้จัดการออนไลน์เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
ช่อง 7 รายการเจาะประเด็น ได้เข้ามาสัมภาษณ์ทั้งสองฝั่ง
{youtube}jum4pwarTfQ{/youtube}
ขออภัย เนื่องจากไฟล์ของช่อง 7 กำลังติดตามหามาเพิ่ม จึงลงได้เฉพาะที่เอามือถือถ่ายก่อนนะครับ
 
ชมรมสื่อเสรีเลยได้เข้ามาสัมภาษณ์ ลิ้งที่นี่ครับ
http://77.nationchannel.com/home/330015/
และ ข่าวอื่นๆ มากมายที่สนใจในเรื่องนี้
 
หลังจากที่มีการเบิกความที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดเลย เป็นเวลา 3 วัน (ติดต่อกัน) เราพบว่าทิศทางการดำเนินคดีอาจจะถูกชักนำโดยฝ่ายโจทย์ ให้เกิดความไม่ยุติธรรมเกิดขึ้น จึงขอนำเสนอบทวิเคราะห์การเบิกความที่เกิดขึ้นไปแล้ว โดยสรุปดังนี้
 
วันที่เบิกความ 28-29-30 มิถุนายน 2556
ฝ่ายโจทย์ คือ อัยการและฝ่ายแม่ของผู้ตาย (นส.พิมพ์นิพา) ยื่นเป็นโจทย์ร่วมด้วยคือ ได้เตรียมพยาน 2 ปาก ซึ่งเป็น นศหญิง.มหาวิทยาลัยราชภัฏเลยมา 2 คน โดยทั้งคู่เบิกความว่า ขับรถมอเตอร์ไซร์ตามหลังผู้ตาย โดยสังเกตเห็นว่าผู้ตายเป็นคนซ้อน และใส่ชุดนักศึกษา และให้การตรงกันเหมือนนัดกันไว้ว่า ได้ชวนกันชี้ดูผู้ตาย (นส.พิมพ์นิภา) ว่า "ดูผู้หญิงคนนี้สิ สวยจัง" ทั้งคู่พูดเหมือนกันจนน่าตกใจ  พร้อมกันนั้น ฝ่ายอัยการยังซักต่อว่า ระหว่างการขับขี่จนเกิดเหตุนั้น ได้เห็นว่ารถพ่วงสิบแปดล้อมาเฉี่ยวชนกันหรือไม่? โดยพยายามซักให้พยานมีความเอนเองไปว่า "ไม่ได้เห็นว่ารถสิบแปดล้อเหยียบ!!"  
 
ฝ่ายโจทย์นั้น มีแนวทางที่จะนำเสนอให้ศาลเข้าใจว่า มีพยาน 2 คน เห็นผู้ตาย (ซึ่งใส่ชุดนักศึกษา) เป็นคนซ้อนรถที่เกิดเหตุ ขับตามกันมา และที่สำคัญ ต่างเน้นมากๆว่า การที่ นส.พิมพ์นิภา เสียชีวิต ไม่ได้มาจากรถ 18 ล้อเหยียบ แต่รถล้มเองและหัวระเบิดออกเอง! นั่นทำให้ทางเรานึกสงสับว่าเป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คือการพยายามช่วยเหลือ รถพ่วง 18 ล้อ ไม่ให้มาเกี่ยวข้องกับรูปคดีนี้เลย (ติดตามต่อนะครับ)
 
ในฝ่ายจำเลยนั้น สิ่งที่จำเลย ซึ่งก็คือ นส.กนกอร ไชยศรี (น้องเจน) ที่จะพยายามหยิบมาสู้คดีนั้น สิ่งที่เป็นส่วนสำคัญในคดี กลับโดนทางตำรวจปฏิเสธ
มาร่วม จึงขอแจงรายละเอียดออกมาดังนี้
 1. นส.พิมพ์นิภา เสียชีวิต เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.55  
     --> 26 มิย.55 แม่ของ นส.พิมพ์นิภา มาเยี่ยมน้องเจน ที่รพ. แล้วก็กลับไป (ช่วงนี้ ไปโรงพัก เพื่อติดต่อกับตำรวจเรื่องบันทึกประจำวัน)
     --> 27-28 มิย.55 แม่ของ นส.พิมพ์นิภา มาที่ รพ. และพูดเกริ่น ว่าอยากให้รับเป็นคนขับให้หน่อย เพราะว่าแม่เองจะได้เงินประกันชีวิตมากขึ้น แต่ทางน้องเจนปรึกษาพ่อแม่และครูอาจารย์ว่า ให้ยึดตามความจริงเท่านั้น อย่าเปลี่ยนแปลง "เราไม่ได้ขับก็อย่าไปรับว่าเราขับ" จากนั้น น้องเจนจึงปฏิเสธที่จะรับเป็นคนขับให้แทน 
    --> 7 ก.ค.55 ทางตำรวจแจ้งให้น้องเจน ไปรับทราบข้อกล่าวหา ว่าเป็นผู้ขับรถประมาททำให้ผู้อื่นเสียชีวิต ซึ่ง ณ ตอนนี้ น้องเจนก็ปฏิเสธชัดเจน ว่าได้ขับ เธอขับรถไม่เป็ฯน และขอให้ตำรวจช่วยเปิดเทปกล้องวงจรปิดตรงนั้น ด้วยเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ทางตำรวจตอบแบบไม่ใยดีว่า "กล้องวงจรปิดลบไปตั้งแต่ 5 วันแรกแล้ว" ทำให้ไม่สามารถหาหลักฐานใดๆมาอ้างอิงได้เลย (ส่วนภาพวงจรปิดที่หอพักอานุภาพนั้น ก็ถูกลบในเวลาต่อมาด้วย)
   *** 5 วัน เทปบันทึกภาพลบแล้ว .. จงใจหรือไม่? คิดดูครับ
   *** จากทางที่ทีมงานเราได้คุยกับ น้องเจน พวกเรามั่นใจเหลือเกินว่า "ถ้าเจนเป็นคนขับรถวันนั้นจริงๆ เธอจะไม่วิ่งหาเทปกล้องวงจรปิดเด็ดขาด"
 
 2.ทนายของน้องเจน แทบจะไม่ซักค้าน หรือ "ตีพยาน" ฝั่งโจทย์เลย ถามแต่เรื่องราวๆทั่วๆไป ไม่ไล่ ไม่ถามอะไรที่ควรจะถาม ทางน้องเจนนั้น ในตอนแรกเธอยังเชื่อมั่นว่า ทนายน่าจะซักพยานที่ถูกจัดขึ้นมาของฝั่งตรงข้ามได้ เพราะ "คนที่พูดเท็จจะมีพิรุจ" แต่ ณ เวลานั้นจริงๆ น้องเจนบอกกับทีมงานเราว่า อยากจจะเปลี่ยนทนาย ณ ตอนเบิกความนั้นเลยทีเดียว แต่เนื่องจาก เบิกความ 3 วันติดกัน ทำให้ไม่สามารถหาทนายมาแทนทนายนี้ได้ทัน
 
3.พยานฝ่ายจำเลย (น้องเจน) พยายามต่อสู้ด้วยสิ่งๆหนึ่งคือ "แม่ของนส.พิมพ์นิภา เคยมาขอร้องให้ช่วยรับเป็นคนขับให้" ซึ่งตั้งแต่ ตอนเกิดอุบัติเหตุใหม่ 
 
และอีกหลายครั้งต่อหลายครั้ง เช่น
  - พูดกับพ่อแม่และตัวน้องเจนเองว่า ขอให้รับเป็นคนขับให้หน่อย แล้วจะช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้
  - รวมทั้งพูดกับอีกหลายคน/รวมทั้งฝากไปถามอีก ว่า ให้ช่วยบอกน้องเจนให้รับเป็นคนขับให้ด้วย โดยส่วนนี้มีพยานหลายคน เช่น อาจารย์ในวิทยาลัยอาชีวศึกษา (ได้ถูกขอให้เกลี้ยกล่อมโดย ยายของนส.พิมพ์นิภา) และ คนสำคัญคือ รองผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาเลยท่านนึง ที่ได้ถูกแม่ของนส.พิมพ์นภาเองเลย ขอร้องว่าให้ช่วยรับเป็นคนขับให้หน่อย ซึ่งทางรองฯ นอกจากจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำนี้ ยังพูดกลับไปว่า "ถ้าสลับเจ้าเจน เป็นลูกแม่เอง แม่จะยอมมั้ย?" ซึ่งแม่ของ นส.พิมพ์นิภา ไม่ตอบอะไร และก็เดินทางกลับไป
 
** ในส่วนนี้จะเห็นได้ว่า มีความพยายามหลายครั้ง จากแม่ของ นส.พิมพ์นิภา ที่จะเกลี้ยกล่มให้ น้องเจน รับเป็นคนขับแทนให้ เพื่อที่จะได้รับเงินประกันจาก 35,000 บาท เป็น 200,000 บาท (เนื่องจากเป็นคนซ้อนจะได้มากกว่า) พยานที่ได้ยินและได้พูดคุยกับแม่นส.พิมพ์นิภา มีหลายคน แต่ทางทนายของจำเลย เลือกเฉพาะ รองฯผอ.วิทยาลัย ขึ้นเบิกความเพียงคนเดียว
 
**แม้ในคำพูดของแม่ นส.พิมพ์นิภา ที่พูดกับนักข่าว ช่อง 7 ทางเราจะตัดมาให้ฟังชัดกันนะครับ โดยเฉพาะตอนที่พูดว่า "รับไปเถอะ โทษไม่เท่าไร แค่รอลงอาญา 2 ปีเอง" ..... แต่ สุดท้าย แม่ของน้องพิมพ์เอง ก็ยื่นเป็นโจทย์ร่วมเรียกค่าเสียหายกว่า 600,000 บาท จากน้องเจน โดยกล่าวหาว่า เป็นสาเหตุทำให้ลูกของเธอเสียชีวิต
{youtube}pL6WPzwhEiE{/youtube}
 
 
4.เรื่องตำรวจหรือที่เรียกกันในสำนวนว่า "พนักงานสอบสวน" จะขอวิเคราะห์เฉพาะส่วนที่สำคัญๆให้ฟัง คือ ณ วันที่เกิดเหตุเมื่อได้รับแจ้งว่าได้มีอุบัติเหตุว่า รถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ เหยียบคนตาย ตรงบริเวณถนน เลย-เชียงคาน จึงได้วิทยุสกัดจับรถได้ ณ ด่านที่ห่างออกไป 5-6 กิโลเมตร โดย ณ ตอนแรก พนักงานสอบสวนได้รับแจ้งว่า "รถสิบแปดล้อเหยียบคนตาย" จึงได้ไปตรวจสอบ แต่!! หลังจากได้เดินดูตามล้อรถ **ไม่พบเศษชิ้นส่วนอวัยวะ และไม่พบเศษสมอง" จึงได้ปล่อยให้รถบรรทุกไปส่งของที่ อ.ท่าลี่ให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยกลับมาตรวจสอบอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น !!! หลักฐานที่ไหนจะมาอยู่กันเล่า แถมการตรวจสอบด้วยตาเปล่ามันยากที่จะเห็นอะไรได้ แถมยังเป็นเวลาวิกาลอีก เหตุใดจึงปล่อยให้รถคู่กรณีขับไปส่งของอีกกว่า 50 กม. แล้วกลับมาตรวจสอบใหม่ตอนเช้า หลักฐานมันจะเหลือหรือ? ยังไม่แค่นั้นทาง พนักงานสอบสอนอ้างว่า ตอนเช้า ทางสำนักงานพิสูจน์หลักฐาน แจ้งเข้ามาว่ามีรถบรรทุกมาให้ตรวจสอบหลักฐาน แต่ ทางตำรวจก็ไม่ได้ไปดู! และสรุปคือ พิสูจน์หลักฐานบอกว่าไม่พบหลักฐาน รถบรรทุก ไม่ได้เหยียบคน! ง่ายมาก ง่ายเหลือเกินครับ! ทีมงานเรางงมากๆ มันมีโอกาสมากมายที่จะ เปลี่ยนรถที่ประสบเหตุ หรือแม้แต่จะเอารถบรรทุกสิบแปดล้อไปล้างอัดฉีดสัก 2 รอบก็ยังมีเวลาเลย
 
ภาพรอยล้อชัดขนาดนี้ คลิ๊กที่นี่เพื่อดูไฟล์ภาพใหญ่
*ขออภัยน้องพิมพ์มา ณที่นี้ด้วยที่ต้องภาพมาลง เราต้องการให้เห็นว่ารอยล้อที่ทำให้น้องต้องเสียชีวิตนั้น มันชัดเจนมากมาย
 
โดยที่วิเคราะห์มาทั้งหมด ทางทีมงานเราไม่อยากจะต้องเข้าข้างใครทั้งสิ้น เราเพียงขอนำเสนอข้อมูลที่เราทราบและได้รับรู้มา เพื่อให้ท่านเองให้รับรู้ว่าเรื่องแบบนี้มีอยู่ในประเทศไทย บ่อยเกินไปแล้ว กับการยัดข้อหา เราหวังอย่างยิ่งว่าความยุติธรรมจะยังคงมีอยู่ ความจริงต้องเป็นความจริง หากคนบริสุทธิ์ต้องมารับโทษมันจะเป็นอย่างไรต่อไป ทั้งระบบตำรวจ ระบบยุติธรรม ทั้งหมด เราไม่อยากจะคิดว่ามีสร้อยสนกลในอะไรหรือไม่ แต่อยากให้ความยุติธรรมยังอยู่ บาปกรรมมันตามทันทุกคนเสมอที่ทำเลวไว้ และทุกวันนี้บาปกรรมมันมาเร็วกว่าที่คิดนะครับ เอาใจช่วยเธอนะครับ วันที่ 30 กันยายน  2556 นี้คือ วันอ่านคำพิพากษาของศาล ณ ศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดเลย
  คิดเอานะครับ
  - น้องเจน ไม่มีรถ ขับรถไม่เป็น อยู่หอ เดินมาเรียน คนทั้งวิทยาลัยบอกได้เป็นเสียงเดียวกันว่า น้องเค้าไม่ขับรถ
  - น้องพิมพ์ รถที่เกิดเหตุ รถของน้องเค้าเอง ปกติน้องเค้าขับรถเป็นประจำ กัลบ้านที่ อ.ปากชม ด้วยมอเตอร์ไซค์ และวันที่เกิดเหตุ น้องเค้าจะออกไปหาเพื่อนของเค้าที่ ม.ราชภัฏเลย (เอาสายแลนไปให้) จึงได้มาชวนน้องเจนซ้อนไปด้วย
  - กระบวนการขอร้องให้รับเป็นคนขับแทนให้ เกิดขึ้นจริงๆ และยังมีพยานอีกหลายปาก ที่อยากให้การ แต่ทนายของน้องเจน ไม่ยอมให้ขึ้น
  - ต่อไปถ้าท่านๆ ประบสบอุบัติเหตุใดๆ หาเทปกล้องวงจรปิดให้ได้ก่อนครับ สำคัญมาก
  - ณ ตอนนี้ ทางน้องเจน จ่ายเงินค่าทนายไปหมดแล้ว โดยกู้ยืมเค้ามา 20,000 บาท และ ไม่ว่าคดีเป็นอย่างไร เธอต้องการทนายคนใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับความถูกต้อง ให้ความสำคัญกับลูกความ มากกว่านี้ ในส่วนนี้ ทางน้องเจนได้ยื่นร้องขอทนายใหม่ไปบ้างแล้ว กับสำนักงานยุติธรรม และได้รับการอนุมัติ เงินช่วยค่าทนายกลับมา 20,000 บาท ซึ่งน้องเจนต้องขอขอบคุณ สำนักงานยุติธรรมมา จ.เลย ณ ที่นี้ ด้วย
  - ครั้งแรก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาวันที่ 14 สิงหาคม 56 แต่จู่ ก็เลื่อนออกไปเป็น 30 กันยายน 56 ซึ่งทางน้องเจนเองก็ยังไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่วันดังกล่าวก็กำลังมาถึง
 
 
ช่วยแชร์กันให้เยอะๆนะครับ ทุกวันนี้ ทีมงานเรายอมรับเลยว่า ความยุติธรรมมันหายากเหลือเกิน ไม่โดนกับตัวไม่รู้หรอกครับ
 
 
Go to top