รอง ผบ.ตร.นำทีมแถลง ยอมอนุโลมให้นั่งท้ายรถกระบะและแค็บหลังได้จนถึงหลังสงกรานต์ โดยยังไม่ระบุเวลา ยกเว้นคำสั่งให้คาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งสำหรับรถโดยสารยังบังใช้เหมือนเดิม ยันเป็นความปรารถนาดีดีของนายกฯ ต้องการลดความสูญเสีย
วันนี้(5 มี.ค.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) เมื่อเวลา 18.30 น. พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงนอก ผบก.จร. พล.ต.ต.สมชาย เกาสำราญ ผบก.ทล. พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รองผบช.น. นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมขนส่งทางบก และ นายณัทพงศ์ เชิดชู รองอธิบดีกรมขนส่งทางบก ชี้แจงการปฏิบัติงาน หลังจากมีคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่14-15/2560 เกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายจราจรของรถยนต์ส่วนบุคคลและรถสาธารณะ และให้เริ่มบังคับใช้จริงจังตามคำสั่งดังกล่าววันนี้เป็นวันแรก และเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในหลายประเด็นไม่ว่าจะเป็นการห้ามนั่งท้ายรถกระบะและห้ามนั่งแค็บหลังคนขับ
พล.ต.อ.เดชณรงค์ กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้สั่งการให้ตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการ อำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ที่เดินทางกลับภูมิลำเนาในช่วงเทศกาลสงกรานต์และรัฐบาลได้ออกคำสั่งมาตรา 44 ที่ 14-15/2559 ให้บังคับใช้กฎหมายด้านจราจร แต่เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ผ่านโลกโซเชียลจำนวนมาก รัฐบาลจึงมอบให้คณะทำงานมาชี้แจงกับพี่น้องประชาชน ว่า ในกรณีที่มีคำสั่งห้ามนั่งท้ายรถรถกระบะ และห้ามนั่งแค็บในรถยนต์ 2 ประตูนั้น สามารถอนุโลมได้ไปจนถึงช่วงหลังสงกรานต์ แต่ไม่ระบุช่วงเวลา ซึ่งคณะทำงานจะต้องมีการพูดคุยกันอีกครั้ง ซึ่งหลังจากนี้จะต้องมีการประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจของประชาชน และตระหนักถึงความสำคัญของกฎหมาย ยืนยันว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นความปรารถนาดีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลที่ต้องการลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุ
"อย่างไรก็ตามในกรณีที่นั่งท้ายกระบะ ห้ามประชาชนนั่งบริเวณขอบกระบะ หากเจ้าหน้าที่พบเห็นก็จะต้องมีการเตือน แต่จะไม่มีการปรับ ส่วนบริเวณภายในกระบะหรือแค็บนั้นสามารถนั่งได้ตามความเหมาะสม ซึ่งไม่ได้ระบุว่าจะต้องนั่งกี่คน ส่วนการคาดเข็มขัดนิรภัยยังคงบังคับใช้ไปตามเดิม โดยเฉพาะรถตู้โดยสารสาธารณะ เพราะตรงนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เช่นเดียวกับการขับรถด้วยความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด หรือ เมาแล้วขับ"รองผบ.ตร.ระบุ
เมื่อถามว่าหากประชาชนเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายนี้จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ พล.ต.อ.เดชณรงค์ กล่าวว่า เราจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประชาชน ที่ผ่านมาปี 2560 เกิดความสูญเสียจากอุบัติเหตุจากรถกระบะเราอยากเห็นภาพเหล่านั้นหรือไม่ เราคิดบนพื้นฐานหลักการว่าอะไรที่ดีที่สุดสำหรับคนไทย "ผมเอาตัวเองเป็นพี่น้องผู้เดินทาง และมีญาติพี่น้องที่เดินทางลักษณะนี้ ผมคิดแทนผู้เดินทางว่าจะทำอย่างไรให้สามารถเดินทางด้วยความปลอดภัย เน้นย้ำความปรารถนาดีของนายกรัฐมนตรี ที่ต้องการลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ"
พล.ต.ต.จิรพัฒน์ กล่าวว่า ส่วนวันนี้ที่มีการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการจับปรับสำหรับผู้ที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลพบเห็นน้อยมาก แต่ยังไม่สามารถระบุตัวเลขได้สำหรับค่าปรับที่เสียไป สำหรับค่าปรับที่เสียไปแล้ว จะเอาคืนไม่ได้
ขอขอบคุณบทความจาก : http://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9600000034936