c   นับถอยหลังเหลือเวลาอีกเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้นที่ศึก ''เอล กลาซิโก้'' เกมซูเปอร์ดาร์บี้แห่งลีกกระทิงดุที่ว่ากันว่ามีแฟนบอลเฝ้าติดตามมากมายหลาย ร้อยล้านคนทั่วโลก ระหว่าง บาร์เซโลน่า กับ เรอัล มาดริด จะอุบัติขึ้นบนสังเวียน คัมป์ นู

  ว่ากันว่าคราวนี้หากชัยชนะตกอยู่กับทางฝั่ง ''เจ้าบุญทุ่ม'' พวกเขาก็จะโกยคะแนนหนีห่างคู่อริตลอดกาลรายนี้ไปถึง 11 แต้มทันที และอาจจะเรียกได้ว่าโอกาสที่จะเข้าป้ายในตำแหน่งแชมป์นั้นมีสูงทีเดียว แต่ในทางกลับกันหาก ''ชุดขาว'' เป็นฝ่ายเดินออกจากสนามในฐานะผู้มีชัยมันอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนและแรงขับ ครั้งสำคัญที่ช่วยให้กลับมาอยู่ในเส้นทางป้องกันแชมป์อีกครั้ง


ทั้ง บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ต่างมีคิวลงทำศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดสุดท้าย เมื่อกลางสัปดาห์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย และต่างก็คว้าชัยมาได้อย่างสวยงามด้วยกันทั้งคู่ เริ่มจาก ''เจ้าบุญทุ่ม'' ที่บุกไปเอาชนะ เบนฟิก้า ถึง เอสตาดิโอ ดาลุซ ขณะที่ ''ราชันชุดขาว'' โชว์ฟอร์มสุดแกร่งบุกไปถลุง อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม มหาอำนาจลูกหนังของฮอลแลนด์แบบราบคาบ 4-1


การพบกันครั้งนี้พลพรรค ''อาซูลกราน่า'' มีทางเลือกมากกว่าพอสมควร เนื่องจากผลเสมอถือว่าไม่เสียหาย ขณะเดียวกันหากสามารถคว้าชัยได้สำเร็จพวกเขาก็จะโกยแต้มหนีห่างจาก 8 ไปเป็น 11 แต้มทันที ซึ่งแม้มันอาจจะเร็วเกินไปหากจะบอกว่า บาร์เซโลน่า มีโอกาสเป็นแชมป์สูงอย่างมาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าด้วยประสบการณ์ในการลุ้นความสำเร็จแบบเหลือเฟือ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้คู่แข่งพลิกสถานการณ์กลับมาได้ง่ายๆ แน่

c
ผลงานในฤดูกาลนี้ต้องยอมรับว่า บาร์เซโลน่า ในยุคของ ตีโต้ บีลาโนบา ที่ผันตัวเองจากตำแหน่งมือขวาขึ้นมาทำหน้าที่กุนซือใหญ่อย่างเต็มตัวหลังการ ประกาศวางมือของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ออกสตาร์ตได้อย่างร้อนแรงในลีกด้วยการกวาดชัยชนะ 6 เกมรวดนำเป็นจ่าฝูงของตารางด้วยการมี 18 แต้ม เช่นเดียวกับในถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เก็บชัย 100% โอกาสเข้ารอบน็อกเอาต์สดใสไม่น้อย



อย่างไรก็ตามหากมองเจาะลึกในแง่รายละเอียดแล้วจะพบว่านอกจาก ''เจ้าบุญทุ่ม'' ในยุคของ บีลาโนบา นั้นประสิทธิภาพในเกมรุกยังไม่ดุดันเท่าที่ควรหากเทียบกับสมัยที่ เป๊ป กุมบังเหียน รวมถึงเกมรับที่ดูจะหลวมและเสียประตูง่ายไปนิด และนี่ถือเป็นจุดสำคัญที่นายใหญ่คนใหม่ต้องทำการบ้านอย่างหนักก่อนจะลงทำศึก ใหญ่ในเกมนี้

นอกจากนั้นประสบการณ์ในการคุมทีมของ ตีโต้ บีลาโนบา ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะมองข้ามไม่ได้เลย แม้ว่าในฐานะมือขวาเขาจะคอยอยู่เคียงข้าง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ผ่านศึก ''เอล กลาซิโก้'' มาอย่างโชกโชน แต่วันนี้กับตำแหน่งนายใหญ่ นี่คือศึกแห่งศักดิ์ศรีครั้งที่สองในชีวิตที่มีตำแหน่งแชมป์ลีกเป็นเดิมพัน


ศึก ''เอล กลาซิโก้'' ครั้งแรกในฐานะกุนซือใหญ่ของ บีลาโนบา แม้เขาจะนำ บาร์เซโลน่า เปิดรัง คัมป์ นู เฉือนเอาชนะ เรอัล มาดริด ไปได้แบบฉิวเฉียด 2-1 ในเกมสแปนิช ซูเปอร์คัพ นัดแรก ช่วงต้นฤดูกาล แต่สุดท้ายการที่บุกไปพ่ายที่ เบร์นาเบว 2-3 ส่งผลให้ ''เจ้าบุญทุ่ม'' ต้องชวดแชมป์ไปอย่างน่าเสียดายด้วยกฎอะเวย์โกลหลังจากผลรวม 2 นัดเสมอกัน 4-4 และย่อมส่งผลต่อสภาพจิตใจไม่น้อย

ขณะที่ทางฝั่ง เรอัล มาดริด ออกสตาร์ตในลีกได้อย่างย่ำแย่ด้วยการพ่ายถึง 2 นัดใน 3 เกมแรก พร้อมกับทำสถิติการออกตัวที่เลวร้ายที่สุดในรอบ 11 ปี ก่อนที่จากนั้นจะเริ่มคืนฟอร์มเก่งเรื่อยๆ เก็บชัยชนะมา 5 นัดติดต่อกันในทุกรายการ และถลุงตาข่ายคู่ต่อสู้เป็นว่าเล่นถึง 22 เม็ด


การบุกเยือนถิ่น คัมป์ นู คราวนี้สถานการณ์บีบบังคับให้ โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องพาทีมบุกมาเอาชนะให้ได้สถานเดียวเท่านั้น เพื่อบีบช่องว่างลงมาจากที่ตามหลัง 8 ให้ลงมาเหลือ 5 แต้ม แต่การที่จะทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่จะไปเปิดเกมรุกแลกหมัดกับเจ้าถิ่น เนื่องจากยอดกุนซือชาวโปรตุกีส เคยมีบทเรียนอันเจ็บแสบมาแล้วกับการพ่ายแพ้ 0-5 อันเป็นหายนะย่อยยับที่สุดในชีวิตการเป็นกุนซือของเจ้าตัว

อย่างไรก็ดีผลงานการพบกันระยะหลังดูเหมือนว่า โชเซ่ มูรินโญ่ เริ่มจะเป็นฝ่ายที่ทำผลงานได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน และเปลี่ยนจากนิยามคำว่า ''สู้ไม่ได้'' มาเป็น ''สู้แบบสมศักดิ์ศรี'' มากขึ้นเรื่อยๆ ดังจะเห็นได้ชัดจากการพบกัน 4 ครั้งหลังสุดทุกรายการ เรอัล มาดริด เป็นฝ่ายเอาชนะได้ถึง 2 ครั้งและเสมอ 1 ครั้ง ซึ่งรวมถึงเกมลีกนัดล่าสุดเมื่อฤดูกาลที่แล้วที่บุกมาเอาชนะที่สังเวียนแห่ง นี้ด้วย จากประตูชัยของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้

alt





ประเด็นที่น่าสนใจจึงตกอยู่ที่เกมนี้ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ว่ากันว่าเป็นสุดยอดเทรนเนอร์คนหนึ่งแห่งโลกลูกหนังยุคปัจุบันจะสรรหา ยุทธวิธีใดในการบุกมากำราบคู่อริตลอดกาลรายนี้เพื่อคว้าชัยชนะกลับออกไปให้ ได้ เพราะเป้าหมายของ เรอัล มาดริด คือ 3 แต้มสถานเดียวเท่านั้น


ขณะเดียวกันอีกจุดหนึ่งที่จะมองข้ามไม่ได้เลยนั่นก็คือ ในเรื่องของความสัมพันธ์ภายในทีมที่ฤดูกาลนี้ทางฝั่ง เรอัล มาดริด ดูจะมีปัญหาในจุดนี้ค่อนข้างมาก ไล่ตั้งแต่ประเด็นของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่ไม่พอใจบอร์ดบริหารก่อนจะมีการเคลียร์กันลงตัวเรื่อยมาจนถึง เซร์คิโอ รามอส ที่เดิมทีมีเรื่องระหองระแหงกับ โชเซ่ มูรินโญ่ อยู่แล้ว ก่อนจะออกโรงสนับสนุน เมซุต โอซิล เพื่อนซี้จนเกินงามจนกลายเป็นงัดข้อกับเจ้านายใหญ่และเรื่องกำลังบาน ปลายอยู่ในเวลานี้




ลิโอเนล เมสซี่ VS คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ตัวแปรแห่งชัยชนะของทั้งสองทีม


เป็นที่ถกเถียงกันมาอย่างช้านานเมื่อสองดาวเตะสุดยอดของ โลกเกิดมีคิวต้องมาห้ำหั่นกันทั้งในฐานะชื่อเสียงส่วนตัวบวกกับการเป็นกำลัง สำคัญของสองโคตรทีมลูกหนังเมืองกระทิง

คนหนึ่งว่ากันว่าพระเจ้าประทานพรสวรรค์และทักษะอันเอกอุมาให้ อย่างเต็มเปี่ยมเกินกว่าแข้งรายใดในโลกจะทำได้ เสมอเหมือนจนได้รับการขนานนามว่า ''ดาวเตะผู้มาจากนอกโลก'' อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ขณะที่อีกคนคือ ''ผลผลิตอันสมบูรณ์แบบ'' ที่สุดเท่าที่หาได้อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้


ผลงานการออกสตาร์ตฤดูกาลนี้ ลิโอเนล เมสซี่ ตะบันไปถึง 10 ลูกจาก 7 เกม ทว่าหลังจากที่ทำสองประตูในเกมที่พา บาร์เซโลน่า เฉือนเอาชนะ สปาร์ตัก มอสโก แบบหวุดหวิด 3-2 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรก จากนั้นเป็นต้นมาสตาร์ลูกหนังทีมชาติอาร์เจนตินา ก็ไม่สามารถคลำเป้าได้อีกเลยเป็นจำนวน 3 เกมเข้าให้แล้ว

อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะไม่สามารถลั่นสกอร์ได้แต่ เมสซี่ ก็ยังถือว่ามีส่วนกับเกมแทบจะทุกประตูที่ทีมทำได้ ซึ่งฤดูกาลนี้เจ้าตัวผ่านบอลให้เพื่อนร่วมทีมทำประตูไปได้ถึง 5 ครั้ง ซึ่งรวมถึง 4 ครั้งใน 2 เกมหลังสุดอีกด้วย


ขณะที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แม้ว่าอาจจะไม่มีส่วนร่วมกับเกมมากเท่า เมสซี่ เนื่องจากสไตล์การเล่นของดาวเตะทีมชาติโปรตุเกส นั้นเป็นบอลฉายเดี่ยวเน้นความสามารถเฉพาะตัวเป็นหลัก แต่ผลงาน 4 เกมหลังสุดเขาจัดการถลุงตาข่ายคู่ต่อสู้ไปแล้วถึง 8 ลูก ซึ่งรวมถึงแฮตทริกใน 2 เกมล่าสุดที่พา เรอัล มาดริด ต้อน ลา กอรุนญ่า 5-1 และ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 4-1 ด้วย

ถ้าหากการขับเคี่ยวกันระหว่าง เรอัล มาดริด กับ บาร์ซ่า คือสุดยอดไฮไลต์ของวงการลูกหนังสเปน ก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่าการถล่มประตูของ เมสซี่ หรือ โรนัลโด้ ก็คือหนึ่งในเครื่องหมายการค้าที่ทำให้ลีกลูกหนังแดนกระทิงได้รับความสนใจ มากขึ้นเรื่อยๆ นั่นเอง


เจาะขุมกำลัง ''เจ้าบุญทุ่ม''


จากทัพ 11 คนแรกนัดที่บุกไปเอาชนะ เบนฟิก้า 2-0 ตีโต้ บีลาโนบา มีอันต้องเครียดหนักแทบจะเอาเท้าก่ายหน้าผากเมื่อมีอันต้องเสีย การ์เลส ปูโยล ปราการหลังกัปตันทีมวัย 34 ปี ที่ต้องพักแข้งอีกราว 2 เดือน หลังจากข้อศอกซ้ายหลุดจากการล้มผิดท่า จนถูกหามลงเปลออกจากสนามช่วงนาที 77

ขณะเดียวกัน บีลาโนบา ยังภาวนาให้ เคราร์ด ปิเก้ อีกหนึ่งกองหลังคนสำคัญฟิตกลับมาพร้อมลงคุมแนวรับในเกมสำคัญนัดนี้ เพราะหากลงเล่นไม่ไหวนั่นหมายถึงการที่ บาร์เซโลน่า จะไม่มีเซนเตอร์ฮาล์ฟอาชีพลงสนามเลยแม้แต่รายเดียว!!!


การจัดทัพในเกมรับตามการคาดการณ์ของ ''มาร์ก้า'' สื่อดังแดนกระทิงดุ เชื่อว่า อเล็กซ์ ซง ที่เคยมีประสบการณ์ในการยืนตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟมาก่อนสมัยอยู่กับ อาร์เซน่อล น่าจะได้โอกาสลงมายืนคู่กับ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่

ขณะที่ในแผงกองกลางทีมเวิร์กและความเข้าขารู้ใจไม่มีใครจะ สามารถมาเบียดแย่งไปจาก ชาบี เอร์นานเดซ และ เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ไปได้ ขณะเดียวกันอีกตำแหน่งก็ยังต้องรอลุ้นว่า อันเดรส อิเนียสต้า จะผ่านความฟิตลงสนามได้หรือไม่ หากไม่ เชส ฟาเบรกาส จะลงเล่นแทนค่อนข้างแน่

ขณะที่สามประสานในแนวรุก ลิโอเนล เมสซี่ กับ เปโดร โรดริเกซ เป็นตัวยืน ขณะที่อีกรายน่าจะเป็น อเล็กซิส ซานเชซ กองหน้าค่าตัวแพงที่เรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้อีกครั้งหลังจากกะซวกประตู แรกของตัวเองในซีซั่นนี้ได้สำเร็จในเกมยุโรป เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา



แผนผังการเล่นของ บาร์เซโลน่า (4-3-3)

alt




เจาะขุมกำลัง ''ราชันชุดขาว''

การ บุกไปถล่มเอาชนะ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 4-1 เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา พร้อมกับการที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บติดตัวทำให้ โชเซ่ มูรินโญ่ มีขุมกำลังที่พร้อมเต็มที่สำหรับเกมนัดนี้ ขึ้นอยู่ที่จะจัดใครลงสนามเท่านั้น
การพ้นโทษแบน 4 นัดกลับมาอีกครั้งของ ฟาบิโอ โกเอนเตรา น่าสนใจว่า มูรินโญ่ จะส่งลงสนามเลยทันทีหรือไม่ เนื่องจาก มาร์เซโล่ กำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม แต่การที่ลงเล่นในเกมยุโรปมาเต็ม 90 นาทีถือเป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน
11 คนแรกในเกมเยือน คัมป์ นู วันเสาร์นี้บรรดานักเตะที่เป็นเพียงแค่ตัวสำรองในเกมยุโรป อย่าง ซามี่ เคดิร่า และ อังเคล ดิ มาเรีย น่าจะได้ลงตัวจริงค่อนข้างแน่ แต่ประเด็นสำคัญก็คือ เมซุต โอซิล ที่ระยะหลังฟอร์มตกแบบน่าใจหายจะได้ออกสตาร์ตในเกมนี้หรือไม่ ทว่าจากการคาดการณ์ของ ''มาร์ก้า'' เชื่อว่า มูรินโญ่ น่าจะให้โอกาส ลูก้า โมดริช จอมทัพเลือดโครแอต ลงเป็น 11 คนแรกมากกว่า
ขณะที่แนวรุก ในตำแหน่งหน้าเป้านั้นยังไม่มีใครเดาใจ มูรินโญ่ ได้ว่าเขาจะเลือกใช้งาน คาริม เบนเซม่า ที่ลงเล่นจนครบ 90 นาทีในเกมยุโรป หรือจะเป็น กอนซาโล่ อิกวาอิน ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเกมดังกล่าวแม้แต่วินาทีเดียว แต่เนื่องจากฟอร์มการเล่นที่กำลังลงล็อกสื่อดังกล่าวเชื่อว่าดาวยิงทีมชาติ ฝรั่งเศส น่าจะได้รับโอกาสลงเล่นต่อไป


แผนผังการเล่นของ เรอัล มาดริด (4-2-3-1)
alt


เจาะลึกสถิติที่น่าสนใจ

-ศึก ''เอล กลาซิโก้'' ก่อนหน้าที่ 221 ครั้งทุกรายการที่ผ่านมา บาร์เซโลน่า เอาชนะไป 87 ครั้ง ซัดไป 359 ประตู ขณะที่ เรอัล มาดริด เอาชนะไป 88 ครั้ง ซัดไป 367 ประตู และเสมอกัน 46 ครั้ง แต่หากนับเฉพาะลีก 165 ก่อนหน้านี้ ''ราชันชุดขาว'' เอาชนะได้ 69 ครั้ง ยิงได้ 267 ลูก ''เจ้าบุญทุ่ม'' เอาชนะได้ 65 ครั้ง ยิงได้ 263 ลูก และเสมอกันไป 31 ครั้ง
- มีอยู่หนึ่งสถิติซึ่งน่าเหลือเชื่อมากตรงที่ 165 ครั้งใน ลา ลีกา ที่ผ่านมา การเจอกันของทั้งคู่จบลงด้วยการเสมอ 0-0 เพียงแค่ 8 เกมเท่านั้น แค่สถิติตรงนี้ก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าโอกาสที่ เอล กลาซิโก้ จะลงเอยแบบโนสกอร์เกิดขึ้นนั้นยากมาก
- โชเซ่ มูรินโญ่ มีสถิติการคุมทัพ เรอัล มาดริด บุกมาเยือน คัมป์ นู ไม่สู้ดีนัก เมื่อ 7 ครั้งที่ผ่านมาแพ้ไปถึง 3 เสมอ 2 และเอาชนะได้นัดเดียวเท่านั้น ซึ่งเกิดขึ้นในเกมลีกนัดล่าสุดที่ทั้งคู่พบกันเมื่อฤดูกาลที่แล้ว



 
เรียบเรียงจาก : http://www.siamsport.co.th/Column/121006_076.html

Go to top