หมู่นี้หันไปตามท้องถนน เราจะเห็นคนหันมาปั่นจักรยานมากขึ้นใช่ไหมคะ
ถึงแม้ว่าท้องถนนในกรุงเทพฯ จะไม่เอื้อให้คนหันมาปั่นจักรยานสักเท่าไหร่
แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีทีเดียวที่คนกรุงเทพฯ จำนวนมาก เริ่มหันมาปั่นจักรยานกัน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลเรื่องสุขภาพ การอนุรักษ์พลังงาน การเข้าสังคม เพื่อความเท่ หรืออะไรก็แล้วแต่
เพราะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกไปปั่นจักรยานอย่างฉัน เวลาเห็นคนเหล่านี้แล้ว บอกตามตรงว่าช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้อยากออกไปปั่นจักรยานได้มากเลย
ดังนั้น ฉันจึงแทบไม่ต้องใช้สมองคิด เมื่อทีมประชาสัมพันธ์ของ "เพพเพอร์มินท์ ฟิลด์" โทรมาชวนไปปั่นจักรยานที่ "สมุทรสงคราม"
ฉันฟิตซ้อมออกกำลังกายที่สนามกีฬาประชานิเวศน์ 2-3 สัปดาห์ ก่อนถึงวันนัดหมาย
เพราะทริปนี้เราต้องปั่นจักรยานเป็นระยะทางถึง 22 กิโลเมตร!
น้องสาวที่ฉันชวนไปร่วมทริปออกปากเบาๆ ว่า
"เบลล์ว่า 3 กิโลเมตร เราก็แย่แล้ว แค่เดินยังเหนื่อย"
แต่นางก็ทนการเซ้าซี้ของฉันไม่ได้ จึงต้องตกปากรับคำมาด้วย
ถึงวันนัดหมาย..
เราไปถึงจุดนัดพบที่ลาดพร้าว 80 ตรงเวลาเป๊ะๆ
ซึ่งฉันถือเป็นสัญญาณดีของวันนี้
รอบตัวเราเต็มไปด้วย.. นักปั่นจักรยานมืออาชีพ
(คิดว่าใช้คำนี้ได้เลยนะ)
แต่ละคนมาพร้อมเสื้อ กางเกงปั่นจักรยาน หมวก ฯลฯ
ขณะที่เรา 2 คน มาพร้อม "ครีมกันแดด" และ "แว่นตา"
นั่นทำให้เราเริ่มใจฝ่อเล็กน้อย
จากจุดเริ่มต้นที่ลาดพร้าว 80
เราไปถึงถนนพระราม 2 ประมาณ 9 โมง
ทันทีที่ก้าวลงจากรถบัส.. สิ่งแรกที่ฉันคิดคือ
"ครีมกันแดดคงเอาไม่อยู่"
อากาศวันนั้นร้อนมาก
ทริปปั่นจักรยานสวยๆ ชมบรรยากาศบ้านเรือนริมข้างทาง ท่ามกลางเงาไม้ร่มรื่นของสมุทรสงคราม เริ่มเปลี่ยนไป...
แต่อารมณ์ตอนนั้น จะถอดใจเดินขอไปนั่งบนรถตู้เย็นๆ คงไม่ใช่ที่
ไม่รู้สิ.. เหมือนกับคุณยืนอยู่ท่ามกลางนักรบ ต่อให้คุณเป็นแค่ชาวนา คุณก็พร้อมถือดาบรบ! ฉันเริ่มบิลด์ตัวเองให้หึกเหิม
ทว่า "เบลล์" ออกปากชัดเจนว่า
"เดี๋ยวปั่นถึงจุดพักแรก 5 กิโล เบลล์พอเลยนะ"
ฉันแสดงสีหน้าเหยียดหยามเธอเล็กน้อย..
ช่างไม่มีน้ำใจนักกีฬาเอาเสียเลย ยัยคนนี้!
และแล้วการเดินทางของเราก็เริ่มต้นขึ้น..
(อย่าหาเลยค่ะ ว่า "ฉัน" กับ "เบลล์" คือคนไหน ในภาพนี้คาดว่าเรา 2 คน จะไปยืนหลบแดดอยู่ที่ไหนสักที่)
เรา 2 คน เลือกอยู่ตรงต้นขบวนค่ะ ถือเป็นการเร่งตัวเองให้ตามเหล่ามืออาชีพให้ทัน
จะได้ไม่ถูกทิ้งห่างมาก... นัก
แต่หลังจากหันไปคุยหยอกล้อกันแค่ไม่กี่ประโยค
มองไปข้างหน้าอีกที
พี่ๆ เค้าก็ทิ้งห่างเราไปหลายช่วงตัว
พอมองไปข้างหลัง เค้าก็ใกล้เข้ามาทุกที.. ทุกที
เราเริ่มหยุดคุย และเอาจริงเอาจังกับการปั่นมากขึ้น
แม้ระหว่างที่เรากำลังหมกมุ่นกับการเร่งเท้าไปข้างหน้า
จะมีรถบรรทุก 6 ล้อ บ้าง 10 ล้อ บ้าง มาเฉียดเราเบาๆ
แต่เราก็ไม่หวั่นค่ะ..
กลัวจะโดนทิ้งไว้ท้ายขบวนเสียมากกว่า
และแล้วก็มาถึงจุดที่น่าหวาดเสียว.. "เนิน"
ฉันยอมรับว่าสนุกสนานกับการเปลี่ยนเกียร์
ยิ่งขึ้นเนินสูงเท่าไหร่ เราก็ต้องซอยเท้าให้ถี่ขึ้นเท่านั้น
แต่กลับพบว่าจักรยานกลับไม่เคลื่อนไปข้างหน้าเท่าที่ควร
มองไปข้างหน้าอีกที.. เบลล์ปล่อยฟรี ลงสะพานไปแล้ว
ส่วนฉันโดนทุกคนแซง...
เศร้าเหมือนสอบได้ที่โหล่เลยตอนนั้น
(ภาพนี้เป็นหลักฐานว่า "เบลล์" ลงเนิน โดยทิ้งฉันไว้ "ลำพัง")
หลังจากฉันกลับมาที่เกียร์ปกติ
ฉันก็จ้ำสุดแรง เท่าที่น่องอ้วนๆ อย่างฉันจะออกแรงได้
ในที่สุดก็ตามเบลล์ทัน..
(ความจริงก็คือนางชะลอฝีเท้า รอฉัน)
สุดท้ายเรา 2 คน ก็อยู่ท้ายขบวน
เหลืออีกเพียง 200 เมตร จะถึงปั๊ม ปตท. จุดพักแรก
ฉันรู้สึกหัวใจสูบฉีด และยังไม่เหนื่อยมากนัก
คิดในใจต่อว่าอีก 10 กว่ากิโล คงไปต่อได้สบายๆ
แต่แล้วความฝันของฉันก็ดับวูบ...
เมื่อ "พี่เก๋" (พีอาร์เพพเพอร์มิ้นท์ ฟิลด์)
เปิดกระจกออกมาจากรถตู้ ที่แล่นขนาบฉัน
ตะโกนโหวกเหวก ชี้ไม้ชี้มือมาที่ฉัน
"ดรีมไหวไหม"
"ไหวค่ะพี่" (ชู 2 นิ้ว)
"จริงหรอ หน้าแดงมากเลยนะน้อง"
แล้วเธอก็จากไปพร้อมรถตู้ ทิ้งปริศนาธรรมให้ฉันครุ่นคิดต่อไปอีก 200 เมตร...
พอถึงจุดพัก สิ่งแรกที่น้องสาวแสนดีทำก็คือยื่น "กระจก" ใบใหญ่เท่าพัดมาให้ฉัน
"อ่ะ ดูหน้าตัวเองซะ แล้วคิดเองว่าจะไปต่อไหม"
ฉันมองตัวเองนิ่งๆ ในกระจก... แล้วเดินไปบอกพี่เก๋ด้วยสีหน้าวิงวอน
"ขอนั่งรถตู้ไปด้วยนะตาเองงง"
ระยะทางอีก 17 กิโลเมตร ของฉันกับเบลล์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
(แน่นอนหล่ะ บนรถตู้มีขนมเต็มพรึ่บพรั่บ แอร์ก็เย็น)
แต่ระหว่างทางฉันก็นั่งให้กำลังใจทุกคนที่อยู่บนจักรยาน
ทุกครั้งที่ "พี่เก๋" ตะโกนถามพี่ๆ หลายคนที่ดูท่าจะไม่ไหว
แต่ก็มักจะได้รับคำตอบพร้อม "รอยยิ้ม" กลับมาว่า
"ไหวครับ/ไหวค่ะ"
นี่คือหนึ่งในสิ่งที่ฉันประทับใจสำหรับทริปนี้
แม้ไม่อาจบรรลุเป้าหมายได้ด้วยตัวเอง แต่ก็คุ้มที่ได้เห็นความพยายามของอีกหลายๆ คน
ฉันว่ามันสวยงามตีคู่ไปกับวิวข้างทางเลยหล่ะ
ช่วง 9 กิโลสุดท้าย ถนนเริ่มไม่ค่อยเป็นใจ
ฉันสังเกตว่าหลายคนตัวเปื้อนมอมแมม
แต่อย่างว่า รอยเปื้อนก็มิอาจกลบรอยยิ้มแสดงความดีใจที่ปั่นมาถึงที่หมายสำเร็จ
ที่หมายของเราก็คือ "ผู้ใหญ่ชงค์โฮมสเตย์"
ศูนย์กลางการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนมานาน 21 ปี ของชุมชนบ้านคลองโคน
"ผู้ใหญ่ชงค์" เล่าให้พวกเราฟังว่า เดิมพื้นที่บริเวณนี้มีป่าชายเลนเกือบ 2 ล้านไร่ แต่เจอปัญหาน้ำเสียจากการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ ทำให้ป่าชายเลนเสียหาย
ชาวบ้านจึงรวมตัวกันฟื้นฟูป่าชายเลน จนกระทั่งกุ้งหอยปูปลาเริ่มกลับมา เกิดอาชีพชาวประมง และมีรายได้เสริมจากการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ รวมถึงการเพาะต้นไม้ปลูกป่าชายเลนขายให้กับองค์กรต่างๆ เฉลี่ยแต่ละครอบครัว มีรายได้ประมาณ 12,000-15,000 บาท
"คนในชุมชนทำงานแบบแบ่งงานกัน มีการแบ่งงานกันดูแลชุมชน ไม่ทิ้งชุมชนไปไหน ถือว่าไม่สร้างภาระให้ประเทศชาติ ดูแลตัวเองได้ ไม่เคยใช้เงินหลวง ที่สำคัญของทะเลจากสมุทรสงครามยังถูกส่งไปยังจังหวัดต่างๆ คิดเป็น 50% ของอาหารทะเลในประเทศทั้งหมด" ผู้ใหญ่ชงค์กล่าวด้วยความภูมิใจ
จะว่าไปสมุทรสงครามถือว่ามีความได้เปรียบในแง่ ภูมิศาสตร์ ถือเป็นพื้นที่ "อ่าวไทยตอนใน" ที่มีแม่น้ำ 5 สาย มาบรรจบกัน ได้แก่ ท่าจีน สมุทรสาคร แม่กลอง บางปะกง และเพชรบุรี จึงมีความอุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพมาก ประกอบกับคนในชุมชนร่วมแรงร่วมใจกันดูแลทรัพยากร ทำให้ปัญหาความยากจนในชุมชนลดน้อยลง ปัญหายาเสพติด วัยรุ่น ลักขโมย ก็น้อยลงไปด้วย คนที่นี่จึงอยู่กันอย่าง "มีความสุข"
หลังจากฟังคำบรรยายที่เป็นประโยชน์จากผู้ใหญ่ชงค์ เราก็เดินทางต่อไปที่ "กระเตง" ค่ะ
ฉันสังเกตเห็นเบลล์ทำสีหน้าหนักใจก่อนขึ้นเรือ เลยถามว่าเป็นอะไร
"เบลล์เมาเรืออ่ะ ขอนั่งหน้าเรือเลยได้ไหมพี่ดรีม"
ฉันอ่อนใจกับมุกของยัยคนนี้ รำพึงเบาๆ ตอบเธอไปว่า
"พี่ว่าเบลล์ว่ายน้ำไปเองจะดีกว่าจ้ะ"
นั่งเรือชมบรรยากาศป่าชายเลนกับความเวิ้งว้างของอ่าวไทยยังไม่ทันเบื่อ
ก็มาถึง "กระเตง" ค่ะ
ทรมานสุดตอนเดินขึ้น เพราะแดดร้อนเปรี้ยง ทำให้บันไดไม้ไผ่ที่ต้องปีนขึ้นกระเตง
ร้อนระอุพอๆ กับต้นงิ้ว (เบลล์บอกมาอีกทีค่ะ)
เจ้ากระเตงที่ว่าเป็นลักษณะคล้ายเรือนใหญ่ๆ ทำจากไม้ไผ่ อยู่กลางน้ำ ไม่มีผนังค่ะ ลมโกรก นอนสบาย เวลาเดินให้ความรู้สึกเหมือนได้นวดฝ่าเท้าค่ะ แต่เวลานั่งนี่ทรมานพอควร ต้องเปลี่ยนอิริยาบถกันบ่อยๆ
เรามาที่นี่เพื่อกินมื้อเที่ยงกัน.. เก๋ไหมหล่ะ กินข้าวบนกระเตงกลางอ่าวไทย
ฉันไม่รอช้าที่จะเข้าไปเช็กอินในเฟซบุ๊คบอกกล่าวเหล่าแฟนคลับ(?)
ปรากฏว่ามีคนมาเช็กอินก่อนหน้าเพียบเลยค่ะ คาดว่าอีกหน่อยที่นี่คงฮิตพอกับฟู้ดคอร์ทที่ Terminal21
กับข้าวมื้อเที่ยงเรียบง่ายค่ะ ส่วนใหญ่เป็นกุ้ง หอย ปู ปลา ที่เด็ดสุดก็คือ "ปลาทูแม่กลอง" สมญานาม "หน้างอคอหัก" อันเลื่องชื่อของที่นี่
ทราบไหมคะว่าทำไมปลาทูแม่กลองถึงดัง?
ผู้ใหญ่ชงค์เขาบอกว่า สาเหตุที่ปลาทูแม่กลองดังเนี่ย เพราะที่นี่ใช้วิธีการจับปลาทูแบบไม่ให้ปลาทูเครียดค่ะ อาศัยวิธีหลอกล่อให้ปลาว่ายเข้ามาในโป๊ะที่ห่างจากชายฝั่ง 10 กิโลเมตร ค่ะ เจ้าปลาทูก็ว่ายกันเข้ามาโดยไม่รู้ว่าตัวเองโดนจับ มันก็เลยไม่เครียด เนื้อก็เลยนิ่ม พอจับขึ้นมาปุ๊บ ก็หักคอใส่เข่งปั๊บ...
ระหว่างที่เขียนอยู่นี้ฉันก็เริ่มน้ำลายสอค่ะ อยากกลับไปกินอีกรอบ
หลังจากจัดมื้อเที่ยงกันไปคนละ 2 จานเต็มๆ เราก็ไปนอนตามขอบกระเตง
รับลมเย็นๆ ไอแดดอุ่นๆ นั่งมองปลาในน้ำที่ว่ายกันมาให้เห็นเป็นฝูงจะๆ
แอบหันไปมองเห็นคนมาเป็นคู่ ก็.. ไม่ได้อิจฉาค่ะ แค่อยากผลักตกน้ำเท่านั้นเอง (ฮ่าๆ)
จากนั้นก็ต่อด้วยภารกิจ "ปลูกป่าชายเลน"
ถ้าไม่ทำนี่ถือว่ามาไม่ถึงสมุทรสงครามเลยนะ
แต่ที่น่าตื่นเต้นไม่แพ้การลงไปย่ำขี้เลนคือ "ลิงแสม" ค่ะ
บอกตามตรงฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยเอามากๆ เวลาเห็นลีลาการเดินตามเรือช้าๆ ของพวกมัน
หลายคนบนเรือทำเสียงตื่นเต้นตอนเริ่มเห็นลิงตัวแรกค่ะ
แต่หลังจากมันเริ่มมากันเป็นฝูง เสียงตื่นเต้นเหล่านั้นเริ่มหายไป...
กลายเป็นเสียงกระซิบกระซาบ อาทิ เก็บถุงไว้อย่าให้มันเห็น... เอากล้วยไปไกลๆ ฉันสิยะ.. ฯลฯ
ฉันแอบกระซิบถามลุงคนขับเรือว่า มันเคยมีข่าวลิงฆ่านักท่องเที่ยวไหมคะลุง
ลุงหัวเราะเบาๆ บอกว่า เค้าไม่ทำอะไรหรอก ไม่ต้องกลัว
ลุงยังเล่าเรื่องน่ารักๆ ของเจ้าลิงแสมพวกนี้ด้วยว่า ดำน้ำเก่งมาก!
"บางตัวเอาลูกไว้ในอก แล้วดำน้ำไปกลางทะเลนู่น ลูกมันก็ไม่ยักตายนะ ไม่รู้หายใจยังไงเหมือนกัน"
หลังจากเริ่มคุ้นเคยกันกับน้องลิงแล้ว ก็มาถึงภารกิจปลูกต้นโกงกางค่ะ
วิธีการปลูกไม่ยากค่ะ เอาเท้าทิ่มดินให้เป็นหลุม แล้วก็หยอดต้นโกงกางลงไป
แต่มันยากตรงที่ต้องเดินบนขี้โคลนแบบที่เห็นในภาพนี่แหละค่ะ
ทุลักทุเลเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าได้ร่วมฟื้นฟูธรรมชาตินะ ถือว่าคุ้มไม่น้อย
ขอแทรกเกร็ดความรู้นิดหนึ่งค่ะ เผื่อหลายคนไม่ทราบ
เจ้าต้นโกงกางเนี่ย มีอายุยืนถึง 200 ปีเลยในคะ
เอาไว้ปลูกตรงชายฝั่งด้านใน แต่ละปีจะมีชาวบ้านและองค์กรช่วยกันปลูกโกงกาง
จนพื้นที่งอกไปในอ่าวมากขึ้นค่ะ ยิ่งมากยิ่งดี
ส่วนต้นแสมกับลำพู จะปลูกในทะเลค่ะ พวกนี้เป็นไม้ที่ชอบน้ำมาก อายุ 40-50 ปี ช่วยยึดเกาะตลิ่ง
และเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ เรียกได้ว่า ลูกๆ กุ้งหอยปูปลาต้องมาเรียน ก ข ค ที่นี่ (อิอิ)
แนวคิดการอนุรักษ์ป่าชายเลนของสมุทรสงคราม ยังถูกใช้เป็นต้นแบบในจังหวัดชลบุรี สมุทรปราการ
โดยทั้ง 2 จังหวัดก็มาซื้อต้นกล้าไม้ที่นี่ เพื่อนำไปปลูก
สุดท้าย หลังจากตัวเปื้อนโคลนก็มาถึงกิจกรรม "ไฮไลท์" ของวันค่ะ
"สกีน้ำ"
ไม่ต้องบรรยายกันเยอะนะคะ ไปชมภาพความสนุกสนานกันเลยดีกว่า
สนุกสนามกันจนตัวเปียก ก็กลับมาปิดกิจกรรมบนฝั่ง
"คุณสุวรรณา เอี่ยมพิกุล" ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด เบอร์แทรมเคมิคอล (1982) กล่าวขอบคุณสื่อมวลชน และพูดถึงกิจกรรมนี้ว่า "เพพเพอร์มินท์ ไบค์" เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับคนที่ไม่เคยกล้าลองปั่นจักรยาน เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม ใครที่ไม่กล้าไปปั่นจักรยานกับคนเก่งๆ อยากให้ไปร่วมคลิกไลค์ใน Peppermint Bike ในเฟซบุ๊ค แล้วมาร่วมกิจกรรมด้วยกัน แบบไม่ต้องกลัว
"ทุกทริปจะมีคนเป็นลมตลอด เราจะมีรถคอยบริการ คอยเก็บจักรยาน คนที่ไม่ไหวก็ดมยาดมเพพเพอร์มินท์ ฟิลด์ ไปด้วยก็ได้" เรียกเสียงฮาจากผู้เข้าร่วมทริปได้ทันทีกับประโยคปิดนี้
ที่มา:http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1352003645&grpid=&catid=09&subcatid=0901